จุดกำเนิดแห่งความนิยมรักเพศเดียวกัน

gay history
ประวัติ เกย์ ชายรักชายที่มีมาตั้งเเต่โบราณ

ในปัจจุบันของโลกตอนนี้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งหลักๆ แล้วนอกจากเพศชาย เพศหญิง ยังมีเพศที่ 3 อย่างเกย์ เลสเบี้ยนอีกด้วย ซึ่งในตอนนี้สังคมส่วนใหญ่ได้เปิดรับรวมถึงเข้าใจในเพศที่ 3 เทียบเท่ากับเพศชายและเพศหญิง ถึงแม้ว่าในอดีตนั้นเพศที่ 3 อาจจะเป็นเพศที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้รับการยอมรับทางสังคมก็ตาม แต่ในปัจจุบันเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามา โลกก็เปิดกว้างมากขึ้นทำให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะแสดงตัวว่าตนเองนั้นเป็นอะไรได้ดีกว่าคนรุ่นเดิมที่ต้องปิดบังความเป็นตัวตนไว้ เพื่อไม่ให้สังคมมองพวกเขาว่าแปลกประหลาด

เพศที่ 3 เป็นเพศที่น่าสนใจมากแล้ววันนี้เราก็จะพาทุกคนมาศึกษาเกี่ยวกับเพศที่ 3 ที่อยู่ในรูปแบบของเกย์ หรือชายรักชายว่ามีต้นกำเนินความรักแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เพราะหลายๆ พื้นที่ข้อมูลนั้นบ้างก็ว่ามีตั้งแต่กรีก ยุคโรมัน บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยฟาโรห์ ซึ่งเราจะเอาทั้งสองยุคนี้มาให้พวกคุณได้ศึกษาว่าแต่ละยุคนั้นมีความเป็นมาอย่างไร

  • สมัยศตวรรษที่ 20 ยุคกรีก – โรมัน ที่เชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของรสนิยมชายรักชาย ความเชื่อนี้มาจากวัตถุโบราณอย่างThe Warren Cup เป็นถ้วยน้ำดื่มที่เชื่อมาเป็นวัตถุโบราณที่มีมาตั้งแต่ตอนกลางของคริสตศตวรรษที่ 1 ด้วยลักษณะลวดลายที่อยู่บนถ้วยนั้นเป็นรูปแกะสลักการร่วมรักของชายกับชาย แน่นอนว่ารูปที่ถูกแกะสลักเข้าไปนั้นจะสื่อถึงค่านิยมของคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
  • สมัยฟาโรห์ ราชวงศ์ที่ 5 ที่มีอายุมากกว่า 2,400 ปี ซึ่งข้อมูลนั้นระบุไว้ว่าคู่รักที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันคู่แรกนั้นเป็นชาวอียิปต์ที่มีชื่อว่า “นัมโฮเทป” และ “นิอังค์คานุม” ทั้งสองคนนั้นเป็นบริวารของฟาโรห์ในยุคนั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในยุคของอาณาจักรอียิปต์โบราณ การเสียชีวิตของเขาร่างทั้งสองถูกฝังอยู่ในหลุมเดียวกันนอกจากนั้นยังมีข้อความที่แสดงถึงความรักของทั้งคู่ที่เขียนด้วยภาษาเฮียโรกลิฟฟิกว่า “อยู่ด้วยกันในชีวิต และอยู่ด้วยกันในความตาย”

ตามข้อมูลถือได้ว่าในตำนานนั้นความรักระหว่างเพศเดียวกันของชายรักชายดูเหมือนว่าชาวกรีกเห็นเป็นสิ่งที่น่าจดจำ สิ่งที่สวยงาม จนทำให้ความรักในเพศเดียวกันเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรม ซึ่งเราจะเห็นอารยธรรมผ่านศิลปะทั่วไปเช่น รูปปั้น วัตถุโบราณต่างๆ ซึ่งศิลปะพวกนั้นจะถูกออกแบบมาให้มีลักษณะสื่อถึงการร่วมเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการรักในเพศเดียวกันนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่เปิดเผยตั้งแต่ระดับประชาชนธรรม จนถึงกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรนั่นเอง